วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2551

พระวิทยากร

ตำนานพระพุทธชินราช
พระพุทธชินราช ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารใหญ่ด้านตะวันตก วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีลักษณะงดงามที่สุด ในบรรดาพระพุทธรูปของประเทศไทย พระพุทธชินราชองค์นี้เป็นที่เคารพสักการบูชาของประชาชนทุกชั้นมาตั้งแต่สมัยโบราณจนทุกวันนี้ และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ทรงเคารพบูชามาทุกรัชสมัย
ตำนานการสร้างพระพุทธชินราช ปรากฎหลักฐานทางโบราณคดีว่า พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ( พญาลิไท ) รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัยได้โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๙๐๐ พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคราวเดียวกันนั้นมี ๓ องค์คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา พระพุทธรูปหล่อทั้ง ๓ องค์ มีขนาดต่าง ๆ กัน คือ พระพุทธชินราช หน้าตักกว้าง ๕ ศอกคืบ ๕ นิ้ว พระพุทธชินสีห์ หน้าตักกว้าง ๕ ศอกคืบ ๔ นิ้ว พระศรีศาสดา หน้าตักกว้าง ๔ ศอกคืบ ๖ นิ้ว เมื่อการสร้างพระพุทธรูปสำเร็จบริบูรณ์แล้ว พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ได้โปรดให้อัญเชิญพระพุทธชินราชประดิษฐาน ณ วิหารใหญ่ทิศตะวันตก พระพุทธชินสีห์ประดิษฐาน ณ พระวิหารทิศเหนือ พระศรีศาสดาประดิษฐาน ณ พระวิหารด้านใต้
แต่ในการหล่อพระพุทธรูปดังกล่าวนั้น เมื่อหล่อเสร็จแล้วมีเศษทองเหลืออยู่ จึงเอามารวมกันหล่อเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑ ศอกเศษ องค์ ๑ เรียกนามว่า พระเหลือ กับพระสาวกเป็นพระยืนอีก ๒ องค์ อิฐทีก่อเตาหลอมทองและสุมหุ่นในการหล่อพระ ได้เอามารวมกันก่อเป็นชุกชีตรงที่หล่อพระพุทธรูป สูง ๓ ศอก และปลูกต้นมหาโพธิ์ลงบนชุกชี ๓ ต้น แสดงว่าเป็นพระมหาโพธิ์สถานของพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาทั้ง ๓ องค์ จึงเรียกว่าโพธิ์สามเส้าสืบมา สร้างวิหารน้อยขึ้นในระหว่างต้นมหาโพธิ์หลัง ๑ เชิญพระเหลือและพระสาวกเข้าประดิษฐาน ณ ภายในวิหารนั้น วิหารน้อยหลังนี้จึงนิยมเรียกกันต่อมาว่า วิหารพระเหลือ หรือวิหารหลวงพ่อเหลือ ตั้งอยู่ด้านหน้าพระวิหารพระพุทธชินราช เยื้องไปทางเล็กน้อย
พงศาวดารเหนือได้กล่าวเรื่องการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดาเจือนิยายไว้มีใจความว่า เมื่อพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกได้โปรดให้สร้างเมืองพิษณุโลกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตรัสให้สร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มีพระมหาธาตุรูปปรางค์สูง ๘ วา และพระวิหารทิศ กับระเบียงรอบพระมหาธาตุทั้ง ๔ ทิศ โปรดให้ช่างชาวชะเลียง ( สวรรคโลก ) เชียงแสน และหริภุญชัย ( ลำพูน ) ร่วมมือกันสร้างพระพุทธรูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ๓ องค์ สำหรับประดิษฐานในพระวิหารทิศ ได้เริ่มทำพิธีเททองหล่อเมื่อ ณ วัน พฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ สัปตศก จุลศักราช ๓๑๗ ( พ.ศ.๑๔๙๘ ) เมื่อกะเทาะหุ่นออกแล้ว ทองคงแล่นติดเป็นองค์พระบริบูรณ์เพียง ๒ องค์ ต้องทำพิธีหล่อต่อมาอีก ๓ ครั้ง ก็ยังไม่สำเร็จ ครั้งหลังที่สุด พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกต้องตั้งสัจจาธิษฐาน แล้วทำพิธีเททองหล่อเมื่อ ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช ๓๑๙ ( พ.ศ.๑๕๐๐ ) จึงสำเร็จเป็นองค์พระบริบูรณ์ ในการหล่อครั้งหลังสุดนี้ปรากฏว่า มีชีปะขาวผู้หนึ่งจะมาแต่ที่ใดไม่มีใครทราบ ได้มาช่วยปั้นหุ่นและเททองหล่อพระด้วย เมื่อเสร็จพิธีหล่อพระแล้ว ปะขาวก็ออกเดินไปเหนือเมือง พอถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หายตัวไปไม่มีผู้ใดพบเห็นอีก ดังนั้นจึงเข้าใจกันว่า ปะขาวผู้นั้นคือเทวดาแปลงตัวมาช่วยหล่อพระพุทธชินราช จึงได้พุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก เลยเป็นเหตุให้เกิดความเลื่อมใสในพระพุทธรูปองค์นี้ยิ่งขึ้น ส่วนหมู่บ้านที่ปะขาวไปหายตัวนั้น ก็เลยได้นามภายหลังว่า บ้านปะขาวหาย หรือ ตาปะขาวหาย มาจนทุกวันนี้

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551

พระคุณแม่ (ธรรมบรรยาย)

จุดเทียนกตัญญู
เยาวชนทั้งหลาย กิจกรรมชุดนี้พระอาจารย์ได้จัดทำขึ้น เพื่อให้เยาวชนผู้เป็นที่รัก ได้ละลึกนึกถึงบุพพการีของลูกๆ ผู้เป็นที่รักทั้งหลาย เพื่อยกย่องสถาบันพ่อ แม่ ของลูกๆ พ่อ แม่ ของปวงชนชาวไทย ที่มีบทบาทต่อครอบครัวและสังคม เพื่อให้ลูกได้ละลึกนึกถึงภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อสถาบันครอบครัว และสังคมโดยมีสถาบันพ่อ แม่ เป็นแกนนำในการทำความดี เพื่อเน้นให้ลูกๆ ทั้งหลาย ได้คำนึงนึกถึงหน้าที่ความรับผิดชอบต่อพ่อแม่ ต่อครอบครัว ต่อสังคม สงเสริมตนเองให้มีคุณภาพ มีคุณธรรม ไม่เป็นภาระของสังคมส่วนรวม หากแม้นคุณงามความดีที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมชุดนี้ พระอาจารย์ขออุทิศคุณงามความดีทั้งหมด ให้แก่คุณแม่ทุกๆ คนที่อยู่ในสังคมนี้ ลำดับต่อไปนี้ ขอให้เยาวชนทั้งหลายได้น้อมละลึกนึกถึงใครสักคนหนึ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตของเรา
เมื่อล้มกลิ้งใครหนอวิ่งมาช่วย แล้วปลอบด้วยคำหวานกล่อมขวัญให้
พร้อมจูบที่เจ็บชะมัดปัดเป่าไป ผู้นั้นไซร้ที่แท้แม่ฉันเอง
ในขณะที่ลูกๆ ก้าวเท้าออกจากประตูบ้าน ลูกๆเคยทราบไหมว่ามีสายตาคู่หนึ่ง กำลังมองลูกๆด้วยความห่วงใย ในขณะที่ลูกๆ กำลังสนุกสนาน เพลิดเพลิน ลูกๆ ทราบไหมว่า มีบุคคลหนึ่งกำลังเหงื่อไหลไคลย้อยคร่ำเครียดอยู่กับการทำงาน และขณะที่ลูกๆกำลังใช้จ่ายเงินอย่างฟุ้งเฟ้อ ลูกๆเคยมองย้อนกลับไปดูที่บ้านบ้างหรือไม่ว่ามีบุคคลคนหนึ่งกำลังอดเพื่อให้เราอิ่ม มีบุคคลคนหนึ่งกำลังทุกข์เพื่อให้เราสุข จากวันนั้นถึงวันนี้ ขณะนี้ เดี่ยวนี้ เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า ชีวิตร่างกายจิตใจที่ครบอาการ ๓๒ นี้ อยู่รอดมาได้เพราะใคร ทุกวันนี้ถึงวันนี้ เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า ลูกได้ใช้จ่ายเงินของคุณพ่อคุณแม่หมดไปกี่บาทแล้ว เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า ลูกได้ทานข้าวของคุณพ่อคุณแม่หมดไปกี่กระสอบแล้วและเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า ลูกได้ใช้เสื้อผ้าของคุณพ่อคุณแม่หมดไปกี่ชุดแล้ว

ทุกวันนี้ลูกอยู่กับใครลูกเคยทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่เสียใจกับตัวลูกบ้าง ลูกเคยทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจกับตัวลูกบ้าง ลูกคิดจะตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่แล้วหรือยัง ในฐานะที่คุณพ่อคุณแม่ได้เลี้ยงลูกมาแต่เล็กจนโต ลูกเคยทำอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจกับตัวลูกบ้าง ลูกรักคุณพ่อคุณแม่แล้วหรือยัง จงรักคุณพ่อคุณแม่เสียแต่วันนี้ ก่อนที่จะไม่มีให้รัก
คำใดไม่ซึ้งตรึงใจเหมือนแม่ อันพระคุณปกแผ่มีแก่ลูกน้อยกลอยใจ
อกแม่เคยโอบอ้อมเห่กล่อมละมุนละไม ยุงเอ๋ยเคยกินริ้นไต่แม่เฝ้าแกว่ง
ไกวลูกให้นิทรา
คำว่าแม่เป็นคำที่ไพเราะที่สุดในโลก ไม่ว่าใครจะเลี้ยงลูกมาก็ตาม คำคำเรียกที่ลูกจะเรียกได้คือว่าแม่ คำว่าแม่เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พื้นดินที่เราอาศัยอยู่นี้ เราเรียกว่าแม่ธรณี พื้นน้ำที่กว้างไกลเราก็เรียกว่าแม่น้ำ เป็นใหญ่ในกองทัพเราก็เรียกว่าแม่ทัพ เป็นใหญ่ในบ้านเราก็เรียกว่าแม่บ้าน ทั้งทั้งที่แม่ทัพเป็นผู้ชายแต่สังคมยกย่อง ให้เรียกว่าแม่ทัพ คำว่าแม่จึงเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คำว่าเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก
แม่ลำบากตรากตรำทุกค่ำเช้า หนักก็เอาเบาก็สู้ไม่รู้หนี
แม่เหน็ดเหนื่อยเมื้อยหล้าทั้งตาปี แม่ยอมพลีชีวิตอีกจิตใจ
ก็เพื่อลูกผูกพันกระสันรัก แม้ดวงตาแม่รักควักให้ได้
เมื่อลูกโศกแม่เล่ายิ่งเศร้าใจ ทั่วแดนไกลไม่มีใครดีเกิน
คำว่าแม่เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งว่า มีครอบครัวครอบครัวหนึ่งอยู่ต่างจังหวัด ครอบครัวนั้นคุณพ่อได้เสียไปนานแล้ว คุณแม่เหลือลูกชายผู้เป็น
แก้วตาดวงใจอยู่เพียงคนเดียว อยู่ต่อมาลูกชายได้อ้อนวอนคุณแม่ว่า แม่ครับ ผมของเงินคุณแม่ไปเรียนต่อที่กรุงเทพได้ไหมครับ แม่ได้เตือนสติลูกว่า ลูกเอ๋ย ฐานะทางบ้านเรามันจน แม่จะเอาเงินที่ไหนมาส่งลูกเรียน แต่ลูกชายไม่ยอม ลูกชายได้เถียงแม่ว่าหากแม่ไม่ส่งผมไปเรียน ผมจะไป ผมจะออกจากบ้านนี้ ด้วยความรักและเอ็นดูลูกชายคนเดียว แม่ได้ตัดสินใจขายไร่นาทั้งหมด ขายวัวขายควายที่มีอยู่ เพื่อส่งลูกเรียน หลังจากที่ลูกเรียนที่กรุงเทพได้พักหนึ่ง ลูกเป็นคนโชคดี ลูกเรียนจบเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ หลังจากที่ลูกเรียนจบไปแล้ว แม่ก็นั่งภาคภูมิใจกับตัวเองว่าได้ส่งลูกเรียน และหวังว่าลูกจะกลับมาเลี้ยงแม่ ลูกของแม่หายไปเป็นเวลาหลายปี มีคนข้างบ้านเขามาเล่าให้แม่ฟังว่า ลูกของแม่ได้ดิบได้ดี เป็นตำรวจที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แม่ได้ฟังข่าวนั้นแล้วแม่นอนไม่หลับทั้งคืน แม่ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องไปเยี่ยมลูกชายที่กรุงเทพ แม่ได้จัดชื้อสิ่งของเตรียมขอพื้นเมืองต่างๆ เพื่อจะเอามาฝากลูก คืนนั้นแม่นอนไม่หลับทั้งคืน แม่ตื่นแต่เช้ารีบรุดไปที่สถานี บ.ข.ส เพื่อนั่งรถเข้ากรุงเทพ แม่นั่งรถทั้งวันไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ใจอยากจะให้ถึงกรุงเทพเร็วๆ เพราะอยากจะเห็นหน้าลูก แม่ลงรถแล้วต่อรถไปที่สถานีตำรวจที่เพื่อบ้านได้แจ้งไว้ เมื่อไปถึงสถานีตำรวจลูกชายของแม่กำลังเข้าเวรพอดี เห็นคุณแม่เดินมาแต่ไกล แต่งตัวซอมซ่อเหมือนคนบ้านนอก ลูกชายรู้สึกอายผู้คนที่อยู่บนสถานีนั้น และตัดสินใจว่าจะทำเป็นไม่รู้จักคุณแม่ของตัวเอง สักครู่ต่อมาแม่ก็เดินขึ้นสถานีตำรวจ เดินไปถามนายตำรวจคนหนึ่งว่า ลูกชายของฉันคนนี้อยู่ที่ไหน หลายคนชี้มือไปที่โต๊ะแม่ได้เดินไปนั่งต่อหน้าลูกชาย พร้อมกับเรียกลูกๆ แม่มาเยี่ยม ลูกแม่มาเยี่ยม ลูกชายได้เงยหน้าขึ้นแล้วถามไปว่า คุณป้ามาแจ้งความหรือครับ ป้ามีเรื่องอะไรครับ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็รีบออกไปก่อน เพราะผมมีธุระมาก แม่ได้พยายามย้ำคำเดิมอยู่หลายครั้งว่าแม่ของลูกแม่มาเยี่ยมลูก ลูกจำแม่ไม่ได้หรือ แม่ย้ำคำเดิมตั้ง ๒-๓ ครั้ง แต่ลูกชายก็เมินเฉยความรักที่แม่มีต่อลูกแม่อุตสาห์เดินทางมาแต่ไกลแม่กลั่นไว้ไม่อยู่น้ำตาได้ไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง แม่ก้มลงหยิบตระกร้าด้วยมืออันสั่นเทาพร้อมกับพยุงกายของตัวเองออกไปต่อหน้าลูก แม่ได้กลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของแม่ แม่คิดไม่ถึงเลยว่าลูกชายสุดที่รักของแม่ ที่แม่ส่งไปเรียนจะเป็นเช่นนี้ไปได้ อยู่ต่อมาไม่นาน มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งเอาหนังสือพิมพ์มาให้แม่อ่าน แล้วถามว่าลูกชายของแม่เป็นตำรวจใช่ไหม แม่ตอบว่าใช่ ชื่อนี้ ใช่ไหม ใช่ นามสกุลนี้ใช่ไหม ใช่ ขณะนี้ลูกชายของแม่ที่เป็นตำรวจนั้นได้ถูกผู้ร้ายยิงตายไปแล้ว พอทราบข่าวว่าลูกชายถูกผู้ร้ายยิงตาย แม่แทบเป็นลม แม่ได้รวบรวมเงินทองที่มีอยู่ทั้งหมดมุ้งหน้าเข้ากรุงเทพ เพื่อติดต่อขอรับศพลูกชายมาบำเพ็ญกุศล แม่ไม่เคยรังเกียจลูกเลยว่า ลูกจะลืมแม่ ลูกจะลืมบุญคุณของแม่ที่เลี้ยงลูกมา แม่ไม่เคยคิดถึงเลยแต่ความศักดิ์สิทธิ์ของแม่ ทำให้ลูกชายต้องสิ้นอายุขัยไป คำว่าแม่ จึงเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก
ความทุกข์ของพ่อแม่นั้นมีอยู่ ๓ อย่างคือ
๑ ทุกข์เพราะไม่มีลูก มีพ่อแม่หลายคนที่ไม่มีลูกพ่อแม่รู้สึกเป็นทุกข์
๒ ทุกข์เพราะลูกตาย มีพ่อแม่หลายคนที่มีลูกแล้วแต่ลูกตายก็รู้สึกเป็นทุกข์
๓ ทุกข์เพราะลูกชั่ว พ่อแม่หลายคนมีลูกแล้วแต่ลูกประพฤติไม่ดี พ่อแม่รู้สึก
เป็นทุกข์อย่างหนักกว่าลูก
พ่อแม่เลี้ยงลูกมาแต่เล็กจนโต แม่ขอ ๓ อย่างกับลูกได้ไหม แม่ขอเพียง ๓ อย่าง กับลูกเท่านั้น
ยามแก่เฒ่าหมายเจ้าเฝ้ารับใช้ ยามป่วยไข้หมายเจ้าเฝ้ารักษา
เมื่อถึงคราวันตายวายชีวา หวังลูกยาช่วยปิดตาคราสิ้นใจ
ต่อไปนี้ขอให้ลูกๆ ผู้เป็นที่รักทั้งหลาย ได้นั่งตัวตรงมือขวาทับมือซ้าย พร้อมกับตั้งสัจจะปฏิญาณในใจว่า หากแม้นคุณพ่อคุณแม่ผู้เป็นที่รักของลูกยังมีชีวิตอยู่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่ได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของลูกตลอดไป หากแม้นคุณพ่อคุณแม่ได้จากลูกไปแล้ว ลูกๆ ทั้งหลายขอบูชาพระคุณของท่าน ขอให้ดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุคติ เกิดชาติหน้าชาติไหนขอให้เราได้เกิดเป็นลูกเป็นแม่เป็นพ่อกันอีก หากจะเปรียบชีวิตระหว่างแม่กับลูกแล้ว เหมือนกับดวงเทียนที่ถูกจุดขึ้นโดยไม้ขีดไฟนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า การที่บุคคลได้เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ยาก ขณะที่เรายังไม่รู้เรื่อง คุณแม่สามารถที่จะไม่ให้เราเกิดได้ เพียงกินยาเพียงเม็ดเดียว หรือการที่เกิดมาแล้วเขาไม่เลี้ยงดู ลูกจะกลายเป็นคนกรำพร้า ชีวิที่เกิดแล้วนั้นน้อยยิ่งนัก พระพุทธองค์ตรัสว่า เปรียบเหมือนน้ำที่อยู่บนใบบัว พอต้องแสงตะวันก็เหือดแห้งหายไป เปรียบเหมือนโคที่เขานำไปสู่ที่ฆ่า ชีวิตนี้ไม่ถึงร้อยปีก็จักตาย ขอให้ลูกๆ ทุกคนได้นั่งตัวตรง พร้อมกับระลึกนึกถึงอดีตของเราที่ผ่านมาว่า อดีตของตัวเรา อดีตของคุณพ่อคุณแม่ของเราว่ามีจุดเริ่มต้นมาจากไหน เริ่มต้นจากจุดหนึ่งของชีวิตคืนหนึ่งคืนนั้นนานแสนนาน เป็นคืนที่คุณยายฝันว่า ยายฝันเห็นดวงเดือนและดวงดาวที่ลอยสกาวอยู่บนท้องและยายไขว่คว้าเอาดวงเดือนและดวงดาวนั้นมาถือไว้ในอุ้งมือของตน รุ่งเช้ามีผู้ทำนายฝันของยายว่า บัดนี้ได้มีบุคคลที่สองเกิดขึ้นในท้องของท่านแล้ว และบุคคลนั้นก็คือคุณแม่ของเราในปัจจุบันนี้นั่นเอง แปดถึงเก้าเดือนที่เคลื้อนคลอย ลูกน้อยคือคุณแม่ของเราได้อาศัยร่างของคุณยายเป็นแดนเกิด เก้าถึงสิบเดือนลูกน้อยคือคุณแม่ของเราได้คลอดจากร่างกายของคุณยายมาสู่โลกใหม่นี้ ครั้งแรกในชีวิตของแม่ แม่รักคุณตาและคุณยายมากที่สุดในโลก คุณตาและคุณยายได้ให้ความรักและความอบอุ่นแก่แม่เสมอมา จนกระทั่งแม่โตขึ้นมาสู่วัยเด็กแม่มีเพื่อนมากแม่ก็รักเพื่อนมากที่สุดในโลก ชีวิตของแม่ในขณะนั้นจึงรู้ว่าเกิดมาเพื่อเพื่อน หลังจากที่แม่เรียนจบการศึกษาโตเป็นสาวสมควรที่จะมีครอบครัวได้ แม่ก็มีคนรักคือคุณพ่อของเราในปัจจุบันนี้ แม่รักพ่อมากที่สุดในโลก ชีวิตของแม่ในขณะนั้นจึงรู้ว่าเกิดมาเพื่อพ่อ แต่หลังจากทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันมานานพอสมควร แม่ก็มีความฝันเหมือนกับคุณยาย แม่ฝันว่า แม่ได้ดวงเดือนดวงดาวที่ลอยมาจากท้องฟ้ามาถือไว้ในมือของตน นี่แสดงว่าได้มีบุคคลที่สองมาเกิดในท้องของแม่แล้ว แม่เริ่มนับวันเดือนที่ผ่านไปแต่ละวัน จากเดือนที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ แม่ฝันเห็นเด็กตัวน้อย ๆ ที่ขดงออยู่ในท้องของแม่ ปานนี้ลูกจะเป็นอย่างไร แม่ฝันถึงลูกน้อยของแม่ ที่จะลืมตามาดูโลกใหม่ในไม่ช้านี้ สายใยแห่งความรักความฝูกพันและความห่วงใยได้เกิดขึ้นแล้วในดวงใจของแม่ แม่นึกถึงลูกน้อยในท้องทุกขณะจิตว่า ลูกจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม แม่เต็มใจเลี้ยงเสมอ แม่ฝันต่อไปอีกว่า ลูกของแม่ที่คลอดออกมาจะเป็นเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดู พร้อมกับความฝันและความคิด แม่เริ่มกับมาสำรวจตัวเอง สิ่งที่แม่ไม่เคยทำแม่ต้องทำ สิ่งที่แม่ไม่เคยอดแม่ต้องอด สิ่งที่แม่ไม่เคยระวังแม่ต้องระวังเพราะขณะนี้ชีวิตร่างกายและจิตใจของแม่ไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว แม่มีคนอีกคนหนึ่งอาศัยร่างกายของแม่อยู่ แม่กลัวและกลัวที่จะมีอะไรมากระทบกระเทือนถึงลูกน้อยในท้องของแม่ แม่เมื่อรู้สึกว่ามีลูกน้อยในท้อง ใครจะรู้ได้ว่ามีความรู้สึกอย่างไรตลอดเวลา ๘-๙ เดือนแม่จะต้องปฏิบัติตนอย่างไร แม่จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับการอุ้มท้องลูกเป็นเวลา ๙ เดือน ในขณะที่ร่างกายของคุณแม่กำลังทรุดโทรมอยู่กับการอุ้มท้องนั้น แม่เริ่มจัดหาสิ่งของไว้เพื่อลูกแล้วแม่ได้เตรียมผ้าอ้อมที่นอนและของเล่นไว้ ทั้งที่แม่เองยังไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นหน้าลูกหรือเปล่าเราทั้งหลายคงเคยได้ยินคำว่าตายท้องกลม มีแม่หลายคนที่อาภัพนัก ไม่เห็นแม้กระทั่งหน้าลูกของตนเอง พอคลอดลูกชีวิตของแม่ก็อำลาโลก ชีวิตที่ขาดแม่นั้นลูกจะความรักความอบอุ่นจากใคร ที่ทั้งหมดที่แม่ได้วาดภาพไว้ ที่แม่ได้คิดไว้ที่แม่ได้ฝันไว้ จะเป็นความจริงหรือไม่ต้องถามลูกน้อยทุกคนในขณะนี้ว่า ปัจจุบันนี้หนูเป็นลูกที่เลวที่สุดสำหรับพ่อแม่หรือเปล่า ถ้าปัจจุบันนี้หนูเป็นลูกที่เลวที่สุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แสดงว่าคืนนั้นแม่คงฝันร้ายและโชคร้ายที่เกิดมามีลูกชั่วลูกเลว แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าปัจจุบันนี้หนูเป็นลูกที่ดีที่สุดของพ่อแม่ของวงศ์ตระกูล แสดงว่าคืนนั้นแม่คงฝันดี และโชคดีที่เกิดมามีลูกดีเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูล ถ้าจะถามลูกว่า ลูกเกิดมาจากไหน ทุกคนตอบว่าหนูเกิดมาจากท้องแม่ ถ้าจะถามต่อไปอีกว่า ก่อนที่จะมาเกิดในท้องของแม่ลูกมาจากไหน ลูกทราบไหม ลูกรู้ไหม ไม่รู้ ไม่มีใครรู้เลยว่าก่อนที่จะมาเกิดในท้องของแม่ ลูกมาจากไหน เทียนที่พระอาจารย์จุดข้นนี้ และเทียนที่ลูกๆจุดขึ้นนี้ เทียนไม่เคยรู้เลยว่า ไฟที่มาไหม้ตัวเองนั้นมาจากไหน แต่เทียนก็ให้แสงสว่างทุกครั้งที่เราต้องการแสงสว่าง เทียนไม่เคยรู้ฉันใด แม่ของลูกก็เช่นนั้น แม่ไม่รู้เลยว่า ดวงวิญญาณของลูกที่มาเกิดในท้องของแม่ มาจากสวรรค์ชั้นไหน หรือนรกขุมใด แต่สิ่งที่แม่ยอมรับได้ แม่ยอมรับดวงวิญญาณของลูกทุกดวงที่มาเกิดในท้องของแม่ ไม่ว่าดวงวิญญาณนั้นจะชั่วหรือเลวสักปานใดก็ตาม ไม่ว่าลูกคนนั้นจะชั่วหรือเลวสักปานใดก็ตาม แม่ก็สามารถเลี้ยงลูกนั้นได้ด้วยความสนิทใจ ขอลูกๆผู้เป็นที่รักทั้งหลาย ได้รำลึกนึกถึงบุคคลที่รักเรามากที่สุดในโลก บุคคลที่ห่วงใยเรามากที่สุดในโลก ในขณะที่ลูกๆกำลังนั่งอยู่นี้ ในขณะที่พระอาจารย์กำลังพูดอยู่นี้ ชีวิตของลูกๆกำลังเจริญขึ้น กำลังก้าวหน้าขึ้น แต่ลูกๆเคยมองย้อนกลับไปดูที่บ้านบ้างไหมว่าขณะนี้ได้เกิดอะไรขึ้น แม่ผู้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่ลูกมา แม่ผู้พลีเลือดมาเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน แม่ผู้พลีเนื้อทุกส่วนมาให้ร่างกายลูกสุขสมบูรณ์ บัดนี้ชีวิตของแม่ท่านเหลืออะไรไว้บ้าง ในที่สุดชีวิตของแม่ก็เหมือนกับไฟที่กำลังไหม้ดวงเทียน ในขณะที่ดวงเทียนกำลังให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น แต่ดวงเทียนกับสั้นลงๆ สิ่งที่เทียนเหลือสุดท้ายคือไส้ดำๆ ที่ติดอยู่กับปลายนิ้วนี้ ในวาระสุดท้ายของชีวิตแม่ แม่เหลือเพียงกองกระดูกที่เป็นเถ่าถ่านให้ลูกน้อยถือโกษไปรับที่เชิงตระกอนเท่านั้นหรือ
ลูกเอ๋ยลูกน้อยกลอยใจแม่ แม่ดูแลฟูมฟักเลี้ยงรักษา
ทั้งเห่กล่อมยอมลำบากตรากตรำมา ยามเจ้าตื่นหรือนิทราก็อาทร
พ่อของเจ้าก็เอาใจไม่น้อยกว่า เหน็ดเหนื่อยจากงานมาอุตสาห์ป้อน
รีบชงนมต้มน้ำช้ำอดนอน แม้เจ้าร้องออดอ้อนไม่ดุดัน
ยามเมื่อลูกเจ็บไข้ใจแทบขาด ภาวนาให้แคล้วคลาดจากภัยนั้น
อยากรับทุกของลูกมาผูกพัน อยากกีดกันภัยทุกอย่างให้ห่างไกล
เมื่อเติบโตให้เจ้าเข้าใจซึ้ง เราสองคนผู้ชึ่งอยู่ชิดใกล้
ถึงดุด่าว่าตีใช่อะไร ก็เพราะหวังปลูกฝังให้เจ้าได้ดี
ลูกอย่าขึงอย่าโกรธโทษผิดๆ จงพินิจด้วยปัญญาอย่าหลีกหนี
ที่พ่อแม่รักเจ้าเท่าชีวี เลี้ยงลูกมาจนบัดนี้เพื่ออะไร
มิหวังใดจากเจ้าเท่าปลายเข็ม อยากให้เจ้าเปรี่ยมเต็มทุกสมัย
ด้วยคุณธรรมนำรอดตลอดไป เพราะความดีจะคุ้มภัยตลอดกาล
พ่อแม่ไม่มีเงินทองจะกองให้ จงตั้งใจพรากเพียรเรียนหนังสือ
หาวิชาความรู้เป็นคู่มือ เพื่อยึดถือเอาไว้ใช้เลี้ยงกาย
พ่อแม่มีแต่จะแก่เฒ่า จะเลี้ยงเจ้าเรื้อยไปนั้นอย่าหมาย
ใช้วิชาช่วยตนไปจนตาย เจ้าสบายแม่กับพ่อก็ชื่นใจ
แม่รักเจ้านี้เพียงใด ห่วงลูกยิ่งใหญ่ควรรู้
พ่อเจ้าก็รักเอ็นดู ดิ้นรนต่อสู้อดทน
หวังให้เจ้าอยู่เป็นสุข พ่อแม่ยอมทุกข์ไม่บ่น
เมตตาพร่ำสอนผ่อนปรน เพื่อลูกเป็นคนดีแท้
อยากให้ลูกมีคุณธรรม คารวะน้อมนำพ่อแม่
อย่าทำดื้อดึงชนะแพ้ น้ำตาพ่อแม่จะหลั่งนอง
ขอเพียงเท่านี้ลูกเอ๋ย เกินเลยไหมที่จะสนอง
ธรรมะเท่านั้นคุ้มครอง ปกป้องคนดีร่มเย็น
ชีวิตควรมีหางเสือ ดั่งเรือที่ดีมิเว้น
ลูกจงตั้งจิตบำเพ็ญ ธรรมะเป็นคุณตลอดไป
ขอฝากดวงใจอันเป็นที่รักที่เคารพ ที่บูชา ของคุณแม่ทุกดวงให้แก่ลูกๆ ขอให้ลูกๆ ทั้งหลาย จงเลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ก่อนที่จะไม่มีคุณพ่อคุณแม่ให้เลี้ยง พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า มารดาบิดาเป็นพระพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของบุตร เป็นพระอรหันต์ของบุตร เพราะว่าท่านทั้งสองเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร พระพุทธศาสนาได้ให้ความสำคัญ ได้ให้เกียรติยกย่องสถาบันพ่อแม่ว่า มารดาบิดา เป็นผู้กำเนิด เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้คุ้มครองรักษา เป็นผู้เดือดร้อนและห่วงใย เป็นมิตรในเรือน เป็นครูคนแรก เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระพรหมของลูก ลูกที่อกตัญญูต่อพ่อแม่นั้นจะเป็นลูกที่มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต ในหน้าที่การงานได้อย่างไร แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าลูกรักคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่วันนี้แล้ว ลูกก็รักคนอื่นได้ ถ้าลูกไม่สามารถเลี้ยงคุณพ่อคุณแม่ได้ ลูกก็ไม่สามารถเลี้ยงคนอื่นได้เช่นเดียวกัน หากว่าบุคคลที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดยังไม่สามารถรับใช้ได้ ไม่สามารถเลี้ยงได้ ไหนเลยที่จะคิดถึงบุคคลอื่นที่อยู่หางไกลตัวเราออกไปอีก กิจกรรมนี้พระอาจารย์ได้จัดทำขึ้นเพื่อน้อมรำลึกนึกถึง พระคุณของพ่อแม่ และบุพการีทั้งปวง หากแม้นคุณงามความดีที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมชุดนี้ พระอาจารย์ขออุทิศให้กับดวงใจแม่ทุกดวง และขอให้ลูกๆทุกคนได้ตระหนัก ได้ระลึกนึกถึงบุคคลที่เลี้ยงเรามาแต่เล็กจนโต เราจะตอบแทนท่านอย่างไร หากเราตอบแทนไม่ได้ด้วยร่างกาย จิตใจเราก็ยังอยู่ เราสามารถที่จะตอบแทนท่านได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ขอความสุขความเจริญจงบังเกิดมีแก่ลูกๆผู้มีความกตัญญูต่อบุพการีทุกๆคน ขอให้ลูกๆผู้เป็นที่รักทุกคนประคองดวงเทียนที่ถืออยู่ด้วยความระมัดระวัง อธิษฐานใจในอันที่จะกระทำความดีเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ แล้วนำเทียนมาปักบนถาดที่เตรียมไว้