วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551

ธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง


ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลก ๒ อย่าง
๑. หิริ ความละอายแก่ใจ.
๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัว.

อะไร เรียกว่าธรรมคุ้มครองโลก หรือ ธรรมเป็นโลกบาล ?
ธรรมคุ้มครองมนุษย์โลก ให้คงเป็นสังคมมนุษย์อยู่ได้
ธรรมคุ้มครองโลกมีกี่อย่าง ? อะไรบ้าง ?
มี ๒ อย่าง คือ
๑. หริ ความละอายแก่ใจ
๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต
อะไรเรียกว่า หิริ ?
ความละอายแก่ใจในขณะกำลังจะทำชั่ว ทั้งทางกาย วาจา ใจ รู้สึกขยะแขยงใจไม่กล้าทำความชั่ว เรียกว่า หิริ
อะไรเรียกว่า โอตตัปปะ ?
ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต คิดเห็นภัยที่เกิดจากการทำความชั่ว เรียกว่า โอตตัปปะ
ทำไม ท่านจึงเรียกว่า ธรรมสำหรับคุ้มครองโลก ?
เพราะย่อมคุ้มครองโลกให้อยู่กันด้วยความรัก สามัคคี ไม่มีความอาฆาตพยาบาทปองร้ายกันและกัน ทำให้การเป็นอยู่ร่วมกัน มีความสงบสุขร่มเย็น
ธรรมเป็นโลกบาล (ธรรมคุ้มครองโลก) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ?
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ โลกปาลธมฺโม ”
โลกตั้งอยู่ได้เพราะใครเป็นผู้คุ้มครอง ?
เพราะมีธรรมเป็นผู้คุ้มครอง คือ หิริ โอตตัปปะ เป็นผู้คุ้มครอง
คำว่า โลก นั้นหมายเอาอะไร ?
หมายเอาหมู่สัตว์ที่อาศัยแผ่นดินทั้งหมดไม่ได้หมายเอาทวีปหลาย ๆ ทวีปมารวมกัน
หิริ โอตตัปปะ แปลว่าอะไร ? ต่างกันอย่างไร ?
หิริ แปลว่า ความละอายแก่ใจ
โอตตัปปะ แปลว่า ความเกรงกลัว
ต่างกัน คือ
หิริ ได้แก่ ความละอายแก่ใจ ตะขิดตะขวงใจต่อความชั่วของตนเอง ในการที่จะประพฤติทุจริต
โอตตัปปะ ได้แก่ความหวั่นกลัวความไม่กล้าทำผิดเพราะคำนึงถึงผลแห่งบาปด้วยตนเอง คือ เกิดความคิดกลัวขึ้น ในสันดาน ของตนเอง.
ถ้าขาดหิริ และ โอตตัปปะแล้ว โลกจะเป็นอย่างไร ?
ถ้าคนเราไม่มีหิริ และ โอตตัปปะแล้ว ต่างคนต่างก็จะเบียดเบียนกันและกัน ไม่วางใจกันในที่ทุกสถาน จะอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข.
หิริ โอตตัปปะ มีคุณอย่างไร ?
มีคุณหลายสถาน ให้มีความเกลียดชังต่อบาปทุจริตสะดุ้งกลัวต่อผลอกุศลกรรม ไม่กล้าทำความชั่ว ได้รับความสุขสำราญทั่วกัน ให้เว้นทุจริต ประกอบสุจริต มีเมตตาอารีต่อกัน ควบคุมกันอยู่โดยเป็นหมวดหมู่ ต่างวางใจในชีวิตและทรัพย์ของกันและกัน
หิริ และ โอตตัปปะ มีลักษณะและอุปมาต่างกันอย่างไร ?
มีลักษณะและอุปมาต่างกัน ดังนี้
- หิริ มีลักษณะ สยะแสยงต่อการทำบาป
อุปมาเหมือน บุคคลผู้รักสวยรักงาม เกลียดชังสิ่งโสโครก ฉะนั้น
- โอตตัปปะ มีลักษณะ สะดุ้งกลัวต่อการทำบาป
อุปมาเหมือน บุคคลผู้ซึ่งหวาดกลัวต่ออสรพิษ แม้ตัว เล็กก็ไม่กล้าเข้าใกล้
ธรรมที่ทำลายโลก คืออะไร ?
ธรรมที่ทำลายโลก
คือ อหิริกะ ความไม่มีหิริ ความไม่ละอาย
อโนตตัปปะ ความไม่มีโอตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวต่อบาป
ธรรม คือ หิริ และ โอตตัปปะ เป็นธรรมคุ้มครองโลกอย่างไร ?
ธรรม ๒ ประการนี้ มีประจำใจย่อมประพฤติสุจริตทั้งต่อหน้าและลับหลัง เมื่อมนุษย์ทำแต่ความดี ย่อมมีแต่ความเจริญ ความเสื่อมไม่มี เมื่อมนุษย์เจริญ พิภพก็เจริญขึ้นตาม
ท่านจึงเรียกธรรม ๒ ประการนี้ว่าเป็นเครื่องอภิบาล คือ คุ้มครองโลก ทั้งภายนอก (พิภพซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย) และภายใน (หมู่สัตว์)
หิริ โอตตัปปะ ชื่อว่าเป็นโลกบาล คุ้มครองโลกอย่างไร ?
คือ ธรรมทั้ง หิริ โอตตัปปะ เป็นโลกบาล คุ้มครองโลก คือ ป้องกันหมู่สัตว์ให้ดำรงอยู่โดยสันติสุขตามวิสัยของสัตว์โลก
ธรรม คือ หิริ โอตตัปปะชื่อว่าสุกกธรรมและเทวธรรม เพราะเหตุไร ?
ที่ชื่อว่าสุกกธรรม เพราะเป็นธรรมฝ่ายกุศลอันเปรียบด้วยสีขาวและเป็นไปเพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต
ที่ชื่อว่าเทวธรรม เพราะเป็นธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดาหรือให้เป็นผู้รุ่งเรือง
ธรรมอะไร เป็นเครื่องปกครอง หรือรักษาน้ำใจคน ?
ธรรม คือหิริ และโอตตัปปะ เป็นเครื่องปกครองคนและรักษาน้ำใจคน
หิริ และ โอตตัปปะ เป็นเครื่องรักษาโลกอย่างไร ?
เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งห้ามปรามไม่ให้กล้าทำความชั่วลงได้ แม้มีโอกาสที่จะกระทำ เมื่อเข้าใจว่าการที่จะทำ เป็นความชั่วแล้ว ก็รู้สึกละอาย หวาดหวั่นใจไม่อาจทำลง เพราะถือหิริ โอตตัปปะเป็นใหญ่ โลกจึงมีความสุขและตั้งอยู่ยั่งยืนสืบมา
หิริ โอตตัปปะ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอะไร ?
หิริ โอตตัปปะ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เทวธรรม แปลว่า ธรรมของเทพหรือเทวดา

วุฒิธรรม คือธรรมเป็นเครื่องเจริญ


จตุกกะ คือ หมวด ๔

วุฒิ (คือธรรมเป็นเครื่องเจริญ) ๔ อย่าง
๑. สัปปุริสสังเสวะ คบท่านผู้ประพฤติชอบ ด้วยกาย
วาจา ใจ ที่ เรียกว่า สัตบุรุษ.
๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่านโดยเคารพ.
๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดี หรือชั่ว โดย
อุบายที่ชอบ.
๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม
ซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว.

อะไร เรียกว่า วุฒิ มีกี่อย่าง ?
ธรรมเป็นเหตุแห่งความเจริญ หรือ เป็นเครื่องเพิ่มพูนความเจริญ เรียก วุฑฒิ
มี ๔ อย่าง
วุฒิ ๔ อย่าง คือ อะไรบ้าง ?
วุฒิ ๔ อย่าง คือ
๑. สัปปุริสสังเสวะ คบสัตบุรุษ ผู้ประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา ใจ
๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่านโดยเคารพ
๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือที่ชั่ว ด้วยอุบายที่ชอบ.
๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ได้ตรองเห็นแล้ว
เป็นเหตุผลเนื่องกันอย่างไร ?
เป็นเหตุเป็นผลเนื่องกัน คือ
๑. คบสัตบุรุษ
๒. เป็นเหตุให้ได้ฟังคำสั่งสอนของท่านโดยเคารพแล้ว
๓. เป็นเหตุให้ได้ใช้ความตริตรองหาเหตุผล ให้รู้จักผิดและถูกโดยถ่องแท้ คนที่รู้จักผิดและถูกได้ก็เพราะอาศัยโยนิโสมนสิการซึ่งเป็นผลสำเร็จมาแต่การฟังคำสอน
๔. ต่อจากนั้นก็จักเป็นเหตุให้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว
เมื่อคบสัตบุรุษแล้วจะได้ผลดีอย่างไร ?
ย่อมได้ฟังคำแนะนำในทางที่ดี เมื่อได้ฟังแล้ว จดจำใส่ใจ เพ่งพิจารณาให้เข้าใจชัด ปฏิบัติให้เหมาะสม เมื่อพร้อมด้วยธรรมทั้ง ๔ นี้ ย่อมมีแต่ความเจริญ
สัตบุรุษ หมายถึงใคร ?
หมายถึง คนดี มีความประพฤติดี มีกาย วาจา ใจ สงบมีจิตมั่นคง ประกอบด้วยธรรม ของสัตบุรุษ มีรู้จักเหตุ รู้จักผล เป็นต้น
ทำอย่างไร เรียกว่าคบสัตบุรุษ ?
คือ การเข้าไปมาหาสู่ และ ทำความสนิทสนมกับท่าน (สัตบุรุษ ผู้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ) โดยควรแก่ฐานะนั้น ๆ เรียกว่าคบสัตบุรุษ ฯ
อะไร ชื่อว่าสัทธรรม ?
คำสั่งสอนของสัตบุรุษ ชื่อว่าสัทธรรม
อะไรชื่อว่าสัทธัมมัสสวนะ ?
การเงี่ยหูรับเสียงธรรม ตั้งใจฟังคำแนะนำ สั่งสอน ตักเตือนของท่านสัตบุรุษด้วยความเคารพ คือ ไม่ส่งใจไปอื่น กำหนดจดจำ เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติตาม ชื่อว่าสัทธัมมัสสวนะ
ฟังเช่นไร ชื่อว่าฟังโดยเคารพ ?
ตั้งใจฟังด้วยมีสติ คอยกำหนดตาม ไม่ปล่อยให้อารมณ์ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่าง ๆ คอยประคองใจให้ดำเนินไปตามกระแสความที่ท่านสอนนั้นเท่านั้น ชื่อว่าฟังโดยเคารพ
ตริตรองเช่นไร ชื่อว่าตริตรองโดยอุบายที่ชอบ ?
ตริตรองโดยใช้วิจารณปัญญาพิจารณาให้รู้จักนัยและลักษณะของธรรมนั้น ๆ และไตร่ตรองดูว่าธรรมนั้นควรปฏิบัติอย่างไร จึงจะได้ผลแก่ตน เมื่อทราบชัดแล้ว เลือกฟั้นผ่อนผันปฏิบัติให้เหมาะสมกับกาละเทศะ ภูมิ ฐานะของตน ชื่อว่าตริตรองโดยอุบายที่ชอบ
โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือที่ชั่ว ด้วยอุบายที่ชอบ หมายถึงอะไร ?
หมายถึงความคิดนึกตรึกตรองพิจารณาให้ถ่องแท้ให้แจ่มแจ้ง ประจักษ์ถึงเหตุเกิดของสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ดม ได้ลิ้ม ได้สัมผัส ได้รู้ ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.
ประพฤติเช่นไร เรียกว่าประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ?
ประพฤติดี ปฏิบัติให้พอควรแก่ความดี กล่าวคือ ต้อง ปฏิบัติด้วยกายวาจาใจให้สมควรแก่ตน คือ ต้องประพฤติ ปฏิบัติให้พอควรแก่ฐานะ ภาวะ เพศ วัย และหน้าที่ และให้เหมาะแก่การและสถานที่ ชื่อว่าประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม
จงสงเคราะห์วุฒิ ๔ ลงในไตรสิกขา ?
ข้อ ๑ และข้อ ๔ (สัปปุริสสังเสวะ และธัมมานุธัมมปฏิบัติ) ลงในสีลสิกขา
ข้อ ๒ และข้อ ๓ (สัทธัมมัสสวนะ และ โยนิโสมนสิการ) ลงในปัญญาสิกขา
บุคคลประพฤติตามวุฒิ ๔ จะให้ผลเป็นอย่างไร ?
บุคคลประพฤติตามวุฑฒิ ๔ โดยลำดับ ความเจริญก็จะเกิดมีแก่บุคคลผู้ประพฤติตามโดยลำดับ